www.sitluangporchua.com

ศาสนา => หลักธรรมคำสั่งสอนต่าง ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: ~<บอล อุทัย>~ ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 01:24:23 am

หัวข้อ: หลักธรรมของชาวพุทธ
เริ่มหัวข้อโดย: ~<บอล อุทัย>~ ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 01:24:23 am
หลักธรรมของชาวพุทธ

            หลักธรรม  หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น  ถึงแม้ว่าจะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล  นับถึงปัจจุบันเป็นเวลา  2540  กว่าปีแล้ว  แต่ทุกหลักธรรมยังคงทันสมัยอยู่เสมอ  สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องดำเนินชีวิตและแนวทางในการบริหารงานได้เป็นอย่างดี  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลักธรรมดังกล่าวเป็นความจริงที่  สามารถพิสูจน์ได้ที่เรียกว่า  “สัจธรรม” ปฏิบัติได้เห็นผลได้อย่างแท้จริงอยู่ที่เราจะนำหลักธรรมข้อใดมาใช้ให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด สำหรับนักบริหารก็มีหลักธรรมสำหรับยึดถือและปฏิบัติอย่างมากมาย  ซึ่งได้นำเสนอไว้บ้าง  เรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้

 พรหมวิหาร  4

         เป็นหลักธรรมของผู้ใหญ่(ผู้บังคับบัญชา)  ที่ควรถือปฏิบัติเป็นนิตย์ มี 4 ประการคือ         
       1.  เมตตา      ความรักใคร่  ปราถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุข
       2.  กรุณา      ความสงสาร  คิดช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์
         3.  มุทิตา      ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข
       4.  อุเบกขา   วางตนเป็นกลาง  ไม่ดีใจ  ไม่เสียใจ  เมื่อผู้อื่นถึงวิบัติ  มีทุกข์

อคติ 4

         อคติ  หมายความว่า  การกระทำอันทำให้เสียความเที่ยงธรรม  มี 4 ประการ

1.  ฉันทาคติ    ลำเอียงเพราะรักใคร่
2.  โทสาคติ     ลำเอียงเพราะโกรธ
3.  โมหาคติ     ลำเอียงเพราะเขลา
4.  ภยาคติ       ลำเอียงเพราะกลัว

         อคติ 4 นี้ ผู้บริหาร/ผู้ใหญ่  ไม่ควรประพฤติเพราะเป็นทางแห่งความเสื่อม

 สังคหวัตถุ 4

       เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกันเห็นเหตุให้ตนเอง  และหมู่คณะก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

       1.ทาน                  ให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้
       2.ปิยวาจา          เจรจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน

       3.อัตถจริยา        ประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์
       4.สมานนัตตตา   วางตนให้เหมาะสมกับฐานะของตน

 อิทธิบาท 4

       เป็นหลักธรรมถือให้เกิดความสำเร็จ

              1.ฉันทะ     ความพึงพอใจในงาน
   2.วิริยะ      ความขยันมั่นเพียร
   3.จิตตะ     ความมีใจฝักใฝ่เอาใจใส่ในงาน
   4.วิมังสา   ไตร่ตรองหาเหตุผล
ทศพิธราชธรรม  10  ประการ

       เป็นหลักธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์จะพึงถือปฏิบัติมาแต่โบราณกาลแด่นักบริหาร  ก็น่าจะนำไปอนุโลมถือปฏิบัติได้

         หลักทศพิธราชธรรม  10  ประการ  มีอยู่ดังนี้
       1.  ทาน      คือ การให้ปัน  ซึ่งอาจเป็นการให้เพื่อบูชาคุณหรือให้เพื่อเป็นการอนุเคราะห์
              2.  ศีล        ได้  แก่การสำรวม  กาย  วาจา ใจ ให้เรียบร้อยสะอาดดีงาม
              3.  บริจาค  ได้แก่  การให้ทรัพย์สิ่งของเพื่อเป็นการช่วยเหลือหรือความทุกข์ยากเดือดร้อน
                                       ของผู้อื่นหรือเป็นการเสียสละเพื่อหวังให้ผู้รับได้รับความสุข
              4.  อาชวะ   ได้แก่  ความมีอัธยาศัยซื่อตรงมั่นในความสุจริตธรรม
              5.  มัทวะ     ได้แก่  ความมีอัธยาศัยดีงาม  ละมุนละไม  อ่อนโยน สุภาพ
              6.  ตบะ       ได้แก่  การบำเพ็ญเพียรเพื่อขจัดหรือทำลายอกุศลกรรมให้สิ้นสูญ
              7.  อโกรธะ  ได้แก่  ความสามารถระงับหรือขจัดเสียได้ซึ่งความโกรธ
              8.  อวิหิงสา ได้แก่  การไม่เบียดเบียนคนอื่น
              9.  ขันติ      ได้แก่  ความอดกลั้นไม่ปล่อยกาย  วาจา  ใจ  ตามอารมณ์หรือกิเลสที่เกิดมีขึ้นนั้น
            10.  อวิโรธนะได้แก่  การธำรงค์รักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม
บารมี 6

       เป็นหลักธรรมอันสำคัญที่จะนิยมมาซึ่งความรักใคร่นับถือ  นับว่าเป็นหลักธรรมที่เหมาะมาก
สำหรับนักบริหารจะพึงยึดถือปฎิบัติ  มีอยู่  6  ประการคือทาน

        1.  ทาน         การให้เป็นสิ่งที่ควรให้
        2.  ศีล          การประพฤติในทางที่ชอบ
       3.  ขันติ        ความอดทนอดกลั้น
       4.  วิริยะ       ความขยันหมั่นเพียร
       5.  ฌาน       การเพ่งพิจารณาให้เห็นของจริง
       6.   ปรัชญา   ความมีปัญญารอบรู้

 ขันติโสรัจจะ

         เป็นหลักธรรมอันทำให้บุคคลเป็นผู้งาม  (ธรรมทำให้งาม)

         1.  ขันติ  คือ  ความอดทน  มีลักษณะ 3  ประการ

                                 1.1   อดใจทนได้ต่อกำลังแห่งความโกรธแค้นไม่แสดงอาการ กาย  วาจา  ที่ไม่น่ารัก
                                         ออกมาให้เป็นที่ปรากฏแก่ผู้อื่น
1.2   อดใจทนได้ต่อความลำบากตรากตรำหรือความเหน็ดเหนื่อย
2.      โสรัจจะ  ความสงบเสงี่ยม  ทำจิตใจให้แช่มชื่นไม่ขุนหมอง
ธรรมโลกบาล
         เป็นหลักธรรมที่ช่วยคุ้มครองโลก  หรือมวลมนุษย์ให้อยู่ความร่มเย็นเป็นสุข  มี  2  ประการคือ

         1.  หิริ            ความละอายในตนเอง
       2.        โอตัปปะ  ความเกรงกลัวต่อทุกข์  และความเสื่อมแล้วไม่กระทำความชั่ว

อธิฐานธรรม  4

           เป็นหลักธรรมที่ควรตั้งไว้ในจิตใจเป็นนิตย์   เพื่อเป็นเครื่องนิยมนำจิตใจให้เกิดความรอบรู้ความจริง

รู้จักเสียสละ  และบังเกิดความสงบ  มี  4  ประการ

        1. ปัญญา      ความรู้ในสิ่งที่ควรรู้  รู้ในวิชา
              2.  สัจจะ         ความจริง คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริงไม่ทำอะไรจับจด
       3. จาคะ       สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแห่งความจริงใจ คือ สละความเกียจคร้าน  หรือความหวาดกลัว

ต่อความยุ่งยาก  ลำบาก

      4.  อุปสมะ  สงบใจจากสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบ  คือ  ยับยั้งใจมิให้ปั่นป่วนต่อความพอใจรักใคร่  และความขัดเคืองเป็นต้น

 คหบดีธรรม 4

        เป็นหลักธรรมของผู้ครองเรือนพึงยึดถือปฏิบัติ  มี 4 ประการ คือ

        1.  ความหมั่น
           2.  ความโอบอ้อมอารี
         3.  ความไม่ตื่นเต้นมัวเมาในสมบัติ
         4.  ความไม่เศร้าโศกเสียใจเมื่อเกิดภัยวิบัติ

 ราชสังคหวัตถุ 4

       เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องช่วยในการวางนโยบายบริหารบ้านเมืองให้ดำเนินไปด้วยดี มี 4  ประการ คือ

       1.  ลัสเมธัง         ความเป็นผู้ฉลาดปรีชาในการพิจารณาถึงผลิตผลอันเกิดขึ้นในแผ่นดิน  แล้วพิจารณาผ่อนผันจัดเก็บเอาแต่บางส่วนแห่งสิ่งนั้น
         2.  ปุริสเมธัง     ความเป็นผู้ฉลาดในการดูคนสามารถเลือกแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในความถูกต้องและเหมาะสม
       3.  สัมมาปาลัง   การบริหารงานให้ต้องใจประชาชน
       4.      วาจาเปยยัง  ความเป็นบุคคลมีวาจาไพเราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามเหตุการณ์  ตามฐานะและตามความเป็นธรรม

สติสัมปชัญญะ

       เป็นหลักธรรมอันอำนวยประโยชน์แก่ผู้ประพฤติเป็นอันมาก
        1.สติ                คือ  ความระลึกได้ก่อนทำ  ก่อนบูชา  ก่อนคัด  คนมีสติจะไม่เลินเล่อ  เผลอตน
        2.สัมปชัญญะ  คือ  ความรู้ตัวในเวลากำลังทำ  กำลังพูด  กำลังคิด

 อกุศลมูล 3

       อกุศลมูล     คือ  รากเหง้าของความชั่ว  มี 3 ประการคือ

      1.  โลภะ        ความอยากได้
        2.  โทสะ       ความคิดประทุษร้ายเขา
        3.  โมหะ       ความหลงไม่รู้จริง

 นิวรณ์ 5

      นิวรณ์  แปลว่า  ธรรมอันกลั้นจิตใจไม่ให้บรรลุความดี  มี  5  ประการ

        1.   กามฉันท์    พอใจรักใคร่ในอารมณ์  มีพอใจในรูป เป็นต้น
         2.  พยาบาท     ปองร้ายผู้อื่น
         3.  ถีนมิทธะ     ความที่จิตใจหดหู่และเคลิบเคลิ้ม
       4.  อุธัจจะกุกกุจจะ  ความฟุ้งซ่านและรำคาญ
              5.  วิจิกิจฉา     ความลังเลไม่ตกลงใจได้

 ผู้กำจัดหรือบรรเทานิวรณ์ได้  ย่อมได้นิสงส์  5  ประการคือ

              1.  ไม่ข้องติดอยู่ในกายตนหรือผู้อื่นจนเกินไป
    2.  มีจิตประกอบด้วยเมตตา
   3.  มีจิตอาจหาญในการประพฤติความดี
   4.  มีความพินิจและความอดทน
    5.  ตัดสินใจในทางดีได้แน่นอนและถูกต้อง

เวสารัชชกรณะ 5

         เวสารัชชกรณะ  แปลว่า  ธรรมที่ยังความกล้าหาญให้เกิดขึ้นมี  5  ประการ  คือ

       1.  ศรัทธา   เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
       2.  ศีล          ประพฤติการวาจาเรียบร้อย
       3.  พาหุสัจจะ   ความเป็นผู้ศึกษามาก
       4.  วิริยารัมภะ   ตั้งใจทำความพากเพียร
       5.  ปัญญา         รอบรู้สิ่งที่ควรรู้

  อริยทรัพย์ 7

       1.  ศรัทธา    เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
      2.  ศีล          ประพฤติการวาจาเรียบร้อย
      3.  หิริ           ความละอายต่อบาปทุจริต
      4.   โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปทุจริต
      5.  พาหุสัจจะ ความเป็นคนได้ยินได้ฟังมามาก
      6.  จาคะ การให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้
      7.      ปัญญา  ความรอบรู้ทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นไท

สัปปุริสธรรม 7

        เป็นหลักธรรมอันเป็นของคนดี  (ผู้ประพฤติชอบ)  มี  7  ประการ

      1.  ธัมมัญญุตา    ความเป็นผู้รู้ว่าเป็นเหตุ
      2.  อัตถัญญุตา    ความเป็นผู้รู้จักผล
      3.  อัตตัญญุตา    ความเป็นผู้รู้จักตน
      4.  มัตตัญญุตา    ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
      5.  กาลัญญุตา     ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม
      6.  ปุริสัญญุตา     ความเป็นผู้รู้จักสังคม
      7.      บุคคลโรปรัชญญุตา  ความเป็นผู้รู้จักคบคน

คุณธรรมของผู้บริหาร 6

        ผู้บริหาร  นอกจากจะมีคุณวุฒิในทางวิชาการต่าง ๆ แล้วยังจำเป็นต้องมีคุณธรรมอีก 6 ประการ

      1.  ขมา         มีความอดทนเก่ง
      2.  ชาตริยะ     ระวังระไว
      3.  อุฎฐานะ    หมั่นขยัน
      4.  สังวิภาคะ  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
      5.  ทยา       เอ็นดู  กรุณา
      6.  อิกขนา  หมั่นเอาใจใส่ตรวจตราหรือติดตาม

 ยุติธรรม 5

       นักบริหารหรือผู้นำมักจะประสบปัญหาหรือร้องเรียนขอความเป็นธรรมอยู่เป็นประจำ

หลักตัดสินความเพื่อให้เกิดความ “ยุติธรรม”  มี  5  ประการ คือ

      1.  สัจจวา     แนะนำด้วยความจริงใจ
      2.  บัณฑิตะ   ฉลาดและแนะนำความจริงและความเสื่อม
      3.  อสาหะเสนะ   ตัดสินด้วยปัญญาไม่ตัดสินด้วยอารมณ์ผลุนผลัน
      4.   เมธาวี   นึกถึงธรรม  (ยุติธรรม) เป็นใหญ่ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง
             5.  ธัมมัฎฐะ   ไม่ริษยาอาฆาต ไม่ต่อเวร

ธรรมเครื่องให้ก้าวหน้า 7

         นักบริหารในตำแหน่งต่าง ๆ ย่อมหวังความเจริญก้าวหน้าได้รับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นพระพุทธองค์ทรงตรัสธรรมเครื่องเจริญยศ (ความก้าวหน้า)  ไว้ 7 ประการ คือ

       1.   อุฎฐานะ    หมั่นขยัน
       2.  สติ    มีความเฉลียว
       3.  สุจิกัมมะ     การงานสะอาด
       4.  สัญญตะ     ระวังดี
       5.  นิสัมมการี  ใคร่ครวญพิจารณาแล้วจึงธรรม
       6.  ธัมมชีวี       เลี้ยงชีพโดยธรรม
              7.  อัปปมัตตะ  ไม่ประมาท

 ไตรสิกขา

         เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดความตั้งใจดีและมีมือสะอาด  นักบริหารต้องประกอบตนไว้ใน

ไตรสิกขาข้อที่ต้องสำเหนียก  3  ประการ คือ

       1.  ศีล
       2.  สมาธิ
       3.  ปัญญา

ทั้งนี้เพราะ  ศีล       เป็นเครื่องสนับสนุนให้กาย (มือ) สะอาด
                  สมาธิ    เป็นเครื่องสนับสนุนให้ใจสงบ
                  ปัญญา  เป็นเครื่องทำให้ใจสว่าง  รู้ถูก  รู้ผิด

 พระพุทธโอวาท 3

       นักบริหารที่ทำงานได้ผลดี  เนื่องจากได้  ”ตั้งใจดี”  และ  “มือสะอาด”  พระพุทธองค์ได้วางแนวไว้ 3 ประการ ดังนี้

         1.  เว้นจากทุจริต  การประพฤติชั่ว  ทางกาย  วาจา ใจ
         2.  ประกอบสุจริต  ประพฤติชอบ  ทางกาย  วาจา  ใจ
           3.  ทำใจของตนให้บริสุทธิ์สะอาด  ไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง

          การนำหลักธรรมที่ประเสริฐมาปฎิบัติ  ย่อมจักนำความเจริญ  ตลอดจนความสุขกายสบายใจ  ให้บังเกิดแก่ผู้ประพฤติทั้งสิ้น  สมดังพุทธสุภาษิตที่ว่า “ ธัมโม  หเว รักขติ  ธัมมจาริง”  ธรรมะย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม
หัวข้อ: Re: หลักธรรมของชาวพุทธ
เริ่มหัวข้อโดย: wanghin66 ที่ พฤศจิกายน 08, 2012, 09:12:49 am
 :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-*
หัวข้อ: Re: หลักธรรมของชาวพุทธ
เริ่มหัวข้อโดย: ~<บอล อุทัย>~ ที่ เมษายน 02, 2014, 12:26:22 pm
ขอบคุณครับ