มาฟังประวัติของหลวงพ่อกันหน่อยสิ..ว่าท่านเป็นมาอย่างไร
...แทบจะว่าได้ว่า หลวงพ่อสำเภา ท่านเป็นพระเกจิยุคเก่าเมืองชัยนาทที่หาประวัติยากที่สุดองค์หนึ่งเหมือนกัน ขนาดว่าท่านมีสมณศักดิ์เป็นถึงพระครูชั้นสัญญาบัตร ชั้นโท เชียวนา..แต่ไหงทางวัดกลับไม่มีประวัติของท่านเก็บไว้ ...จากการสอบถามท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง(อีกแล้ว) จำชื่อคุณลุงไม่ได้ขอโทษจริงๆ ที่ท่านมีชีวิตอยู่ทันได้เห็นความเก่งกาจมีอภินิหารของหลวงพ่อในยุคนั้น กล่าวคือ ตอนนั้นท่านเพิ่งอายุ 10 กว่าขวบก็เห็นหลวงพ่อท่านเก่งแล้ว...ประวัติท่านมีอยู่ว่าท่าน เกิดประมาณปี พ.ศ 2420 ท่านมีภูมิลำเนาถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่เมืองกรุงเก่า อยุธยา ในสมัยหนุ่มนั้นท่านได้ขึ้นชื่อว่า เป็นเสือปล้นที่น่ากลัวคนหนึ่งในยุคนั้นเลยทีเดียว คงเป็นประเภท "ไอ้เสือ เอา วา" อะไรอย่างนี้แหล่ะครับ ท่านมีชุมโจรของท่านเอง อยู่แถบ อ.อุทัย จนอายุได้ 30กว่าๆ พ่อกับแม่ต้องขอร้องให้เลิกเป็นโจรและให้ไปอยู่ที่อื่น เพราะทางการกำลังตามตัวท่านอยู่ ท่านจึงหนีมาอยู่ที่เมืองลพบุรี และได้แต่งงานมีครอบครัว แต่มีลูกหรือเปล่านี่ไม่แน่ใจนะ แต่ว่าเลิกเป็นโจรแล้วละ ก็ประกอบสัมมาชีพ ปกติสุข จนวันหนึ่งได้เห็นพระบิณฑบาตร ในตอนเช้า ท่านก็นึกได้ว่า ตัวเรารึที่ผ่านมาก็ทำแต่กรรมชั่วไว้ มิเคยได้บวชเรียนให้พ่อแม่ได้ชื่นใจ เมื่อปรึกษาภรรยาแล้วจึงตัดสินใจบวช ที่วัดบ้านดาบ โดยมีหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์แช่ม วัดบ้านดาบ (หลวงพ่อแช่มท่านนี้เป็นเกจิยุคเก่าที่ขึ้นชื่อมากของเมืองลพบุรี แถมยังเป็นสหธรรมมิกกันกับหลวงปู่ศุขอีกด้วยนะจะบอกให้) หลังจากบวชแล้วก็ศึกษาพระธรรมวินัยและวิชาต่างๆจากหลวงพ่อแช่ม วัดบ้านดาบ ,หลวงพ่อเอิบ วัดบ้านลาด(หลวงพ่อเอิบท่านนี้หลายๆๆๆๆ ท่านเข้าใจผิดมาตลอดว่า ท่านอยู่เพชรบุรี เจ้าของเหรียญสุดหายากติดตำนานเหรียญหายากของเมืองไทยเลยนะ เหรียญท่านเป็นรูปแตงโม ออก ปี พ.ศ 2473) ....ขอย้อนกลับมาที่เมืองชัยนาท ขณะนั้นวัดสะพานกำลังจะกลายเป็นวัดร้าง เพราะหลวงปู่เล็ก อดีตเจ้าอาวาสองค์เก่าได้มรณภาพลง (หลวงปู่เล็กท่านนี้เก่งมากเหมือนกัน อธิบาย 3 วันไม่จบ) หลวงพ่อคง(วัดบางกะพี้) ซึ่งว่ากันว่าท่านเป็นพระอาจารย์องค์หนึ่งของหลวงปู่ศุขและหลวงพ่อแช่ม ได้เล่าให้พระอาจารย์ทั้งสองท่านฟังเรื่องวัดสะพานจะกลายเป็นวัดร้างและเสียดายเพราะที่ดินวัดนั้นเป็นของหลวงปู่เล็ก(เขาว่านะ) หลวงพ่อแช่มได้ยินดังนั้นจึงกลับไปถามหลวงพ่อสำเภาว่า "อยากมาจำวัดอยู่ที่เมืองชัยนาทไหม?" หลวงพ่อสำเภา เห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้ตัดห่างทางครอบครัวไม่ให้เกิดห่วงใดๆจึงตอบตกลงที่จะมาจำวัดตั้งแต่นั้นมา
เมื่อหลวงพ่อสำเภาตัดสินใจที่จะมาจำวัดอยู่ ณ เมืองชัยนาทแล้ว ขณะนั้นแถวอาณาบริเวณวัดยังเป็นป่ารกอยู่มาก หลวงพ่อสำเภาท่านได้ขอแรงญาติโยมช่วยกันแผ้วถางป่า และซ่อมแซมศาสนสถานที่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา (ญาติโยมจำนวนหนึ่งได้ติดตามหลวงพ่อมาจากลพบุรีเพื่อมาตั้งรกรากหลายท่านเหมือนกัน) หลวงพ่อเมื่อมาอยู่แล้วก็ตั้งใจพัฒนาวัดขึ้นตามกำลังไปทีละเล็กละน้อย เวลาว่างก็ได้ไปศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณเพิ่มเติมกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า (จะเห็นได้จากรูปที่ทั้งสองท่านยืนเคียงคู่กันในงานฌาปณกิจศพ หลวงพ่อคง วัดบางกะพี้ ประมาณปี พ.ศ 2456) ...จากวัดที่ใกล้ทรุดโทรมก็กลายเป็นวัดเจริญขึ้นมาอย่างมากในยุคของหลวงพ่อ ทั้ง ศาลาการเปรียญหลังใหญ่,หอระฆัง,โบสถ์ จนถึงกับมีการสร้างโรงเรียนประถมขึ้นมาในนามว่า "โรงเรียน สำเภาผดุงวิทย์" มีเด็กมาเรียนหลายร้อยคนถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองสุดขีดก็ว่าได้ (ปัจจุบันโรงเรียนถูกยุบไปแล้ว) บ้านเรือนริมฝั่งน้ำก็มากขึ้น เพราะผู้คนมาร่วมทำบุญกับหลวงพ่อมากมายในยุคนั้น ว่ากันว่า ท่านมีวิชารักษาคนบ้า คนวิกลจริต ให้หายเป็นปกติเลยเชียวนา ในลานวัดยุคนั้นจะมีแต่ชาวบ้าน พาญาติพี่น้อง ที่เป็นบ้า เสียสติ เพราะเหตุใดก็แล้วแต่ มาเต็มลานวัดเพื่อขอให้หลวงพ่อช่วยรักษาให้ และทุกรายก็ไม่ผิดหวังเลย กับเป็นคนปกติในสามวันเท่านั้น ยิ่งทำให้ชื่อเสียงหลวงพ่อดังออกไปอีก ผู้คนแห่แหนมาทั่วสารทิศ เพื่อมาขอบารมีหลวงพ่อให้ช่วยเหลือในทุกๆเรื่อง..เห็นมั้ยละว่า หลวงพ่อท่านเก่งแค่ไหน
เมื่อท่านเป็นพระที่ดี ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากทุกคน ทำให้ชาวบ้านเกิดศรัทธา และได้ขอ สมณศักดิ์ให้ท่านที่ "พระครูพิศาลชโยดม" อันเป็นสมณศักดิ์สูงสุด ของท่านสร้างความปราบปลื้มใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก...แต่สุดท้ายแล้วของชีวิตไม่ว่าผู้ใดก็ตามต่างก็ต้องมีปลายทางสุดท้ายของชีวิตเหมือนกันทั้งนั้น หลวงพ่อ ได้ มรณะภาพลง ในปี พ.ศ 2508 สิริอายุรวม 88 ปีพอดี ยังความเศร้าโสกเสียใจมายังผู้ที่รักและศรัทธาหลวงพ่ออย่างมากมายในยุคนั้น